พื้นที่โฆษณา

ข่าวราชการ, รัฐวิสาหกิจ - ป.ป.ช. ติดตามเลือกตั้ง 66 เน้นย้ำ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ต้องปราศจากการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม

ข่าวประชาสัมพันธ์

Press Release

ชอบหน้านี้?
News PR... 27 เม.ย. 66 10.0K

ฟังข่าวนี้

พื้นที่โฆษณา

ป.ป.ช. เผย ตัวบทกฎหมายที่เป็นกลไกป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน ยึด “หลักการป้องกันการขัดกันแห่งผลประโยชน์” ปิดช่องโหว่เอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเองและพวกพ้อง และการใช้อำนาจโดยมิชอบของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. เปิดเผยว่า นอกจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 จะได้วางกลไกเพื่อป้องกันมิให้นักการเมืองที่ไม่มีธรรมาภิบาลเข้ามามีอำนาจบริหารบ้านเมืองหรือใช้อำนาจตามอำเภอใจ โดยหลักการสำคัญนั้น คือ “การป้องกันการขัดกันแห่งผลประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม” ซึ่งบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 184 และมาตรา 186 ที่ได้กำหนดพฤติการณ์ของการขัดกันแห่งประโยชน์ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งเป็นข้อ พึงระวังของผู้ที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมือง

นอกจากนี้ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ได้กำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้แก่ “นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา” เป็นตำแหน่งเจ้าพนักงานของรัฐที่ต้องห้ามมิให้ดำเนินกิจการที่เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์กับหน่วยงานของรัฐที่ตนปฏิบัติหน้าที่ในฐานะที่ตนมีอำนาจหน้าที่ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมในการกำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบ หรือดำเนินคดี

โดยในมาตรา 126 ของ พ.ร.บ. ป.ป.ช. นี้ เป็นการห้ามไม่ให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองดำเนินกิจการต่าง ๆ ดังนี้

(1) เป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐ

(2) เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่เข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ (ถือหุ้นได้ ไม่เกินร้อยละ 5 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่จำหน่ายได้ในบริษัทนั้น)

(3) รับสัมปทานหรือคงถือไว้ซึ่งสัมปทาน หรือเข้าเป็นคู่สัญญากับรัฐ อันมีลักษณะเป็นการผูกขาด ตัดตอน หรือเป็นหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่รับสัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญาในลักษณะดังกล่าว เว้นแต่จะเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดไม่เกินจำนวนที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนด (ถือหุ้นได้ไม่เกินร้อยละ 5 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่จำหน่ายได้ในบริษัทนั้น)

ทั้งยังห้ามรวมไปถึง คู่สมรสของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยให้ถือว่าการดำเนินกิจการของคู่สมรสเป็นการดำเนินกิจการของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เว้นแต่เป็นกรณีที่คู่สมรสดำเนินการอยู่ก่อนที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะเข้ารับตำแหน่ง หากกระทำการฝ่าฝืนมาตร 126 ถือว่ามีความผิด “มีโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”

นอกจากนี้ ยังมีมาตรา 128 ที่กำหนดห้ามมิให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้จากผู้ใด นอกเหนือจากทรัพย์สินหรือประโยชน์อันควรได้ตามกฎหมาย เว้นแต่การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยาตามหลักเกณฑ์และจำนวนที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนด “การฝ่าฝืนกระทำกิจการตามมาตรา 128 มีโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”

นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวสรุปว่า ผู้ที่จะก้าวเข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล ฝ่ายค้าน และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งได้รับฉันทามติ จากประชาชนในการเลือกตั้งครั้งนี้ ย่อมต้องได้รับการตรวจสอบและต้องปฏิบัติตามแนวทางการป้องกัน การทุจริตจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่กฎหมายได้กำหนดไว้ ซึ่งสำนักงาน ป.ป.ช. จะดำเนินการตรวจสอบอย่างจริงจัง ทั้งนี้ ก็เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนว่า “ผู้แทน” ที่ตนได้เลือกเข้ามาทำหน้าที่จะมีความโปร่งใส ไม่ใช้อำนาจที่ได้มาจากประชาชนเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน และทำงานเพื่อประเทศชาติอย่างแท้จริง

..................................................................................

พื้นที่โฆษณา
ข้อมูลที่ให้ไว้ในบทความนี้จัดทำโดย News PR ซึ่งเป็นสมาชิกเว็บไซต์ของเรา ความคิดเห็นของผู้เขียนและเนื้อหาที่แบ่งปันในหน้านี้ถือเป็นความคิดเห็นของตนเอง และอาจไม่จำเป็นต้องแสดงถึงมุมมองของ ไทย พีอาร์ นิวส์ หากบทความนี้มีความไม่เหมาะสม โปรดใช้วิจารญาณในการรับชม เนื่องจากทางเว็บไซต์ไม่รับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น
พื้นที่โฆษณา